Monday, 20 March 2023

“อากงจุน” ที่บริจาค มูลนิธิรามาฯ 900 ล. ติดอันดับมหาเศรษฐีใจบุญแห่งเอเชีย “เด็กก้าวไกล” จี้ ดีลจนลืม “ปชช.”

อาจมองไม่เห็น “Forbes” เป็น “สลิ่ม” หลังสรรเสริญ “อากงจุน” ผู้ก่อตั้ง ฮาตาริ ติดอันดับมหาเศรษฐี ใจดีแห่งเอเชีย นักประวัติศาสตร์ แนะต้องแก้ ม.112 เข้มขึ้น ไม่ใช่ให้เสื่อมลง “เด็กก้าวไกล” สุดทนนักลงคะแนนเสียง มัวแต่ดีลจนลืม ประชาชน

น่าดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (14 ธันวาคม 65) เพจเฟซบุ๊ก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ โพสต์ภาพ พร้อมแชร์ CocoNews กล่าวว่า

อากงจุน2

“Forbes เชิดชู “อากงจุน” ผู้ก่อตั้งฮาตาริ ติดอันดับมหาเศรษฐีใจดีแห่งเอเชีย

นิตยสาร Forbes ได้ประกาศทำเนียบรายชื่อ ฮีโร่ผู้ใจบุญแห่งเอเชีย Asia’s 2022 Heroes of Philanthropy ครั้งที่ 16 โดยได้จัดอันดับมหาเศรษฐีผู้ใจบุญทั่วภูมิภาคทวีปเอเชียแปซิฟิค ที่ได้อุทิศทรัพย์สินส่วนตัวช่วยเหลือการกุศล ทั้งในด้านการศึกษา ด้านสภาพแวดล้อม และก็ ทางด้านสังคม

โดยในปีนี้ มี 1 คนไทยติดอันดับด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครไหนเป็น “อากงจุน” นายจุน วนวิทย์ ผู้ก่อตั้งบริษัทพัดลม ฮาตาริ นั่นเอง

โดยในปีนี้ รายชื่อคนที่ได้รับเลือกเฟ้นมีทั้งสิ้น 15 คน เป็นต้นว่า Melanie Perkins แล้วก็ Cliff Obrecht ผู้ร่วมก่อตั้งแอปฯ มีชื่ออย่าง Canva ที่เซ็นชื่อในพันธสัญญาว่า จะบริจาคเงินที่ได้จากแอปฯ เพื่อช่วยเหลือองค์กรการกุศลต่าง ๆ

รวมทั้งยังมี ฮิโรชิ มิกิตานิ ผู้ก่อตั้ง แล้วก็ ซีอีโอ ของแพลตฟอร์มชอปปิ้งออนไลน์ Rakuten ที่บริจาคเงินบริจาคองค์กร ที่ส่งเสริมด้านมนุษยธรรม เป็นจำนวนมากมายก่ายกอง

ขณะที่ อากงจุน ก็ได้รับการเลือกเฟ้น จากเรื่องราว เมื่อ ส.ค. ก่อนหน้านี้ หลังครอบครัว วนวิทย์ ได้บริจาคเงินส่วนตัว กว่า 900 ล้านบาท ให้กับมูลนิธิรามาธิบดี

โดยทางมูลนิธิฯ ได้ออกมาขอบคุณ และก็ ยังเผยอีกว่า อากงจุน แล้วก็ ครอบครัว บริจาคเงินช่วยเหลือทุน โครงงานต่าง ๆ นับจากปี 2551 จนถึงตอนนี้ เป็นยอดเงินช่วยเหลือ รวมทั้งสิ้น 1,317,397,000 บาท

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2565 เว็บสถาบันทิศทางไทย โพสต์ใจความสำคัญสามนิ้ว วิตกจริต!? ผลักไส “ฮาตาริ” อยู่ฝั่งตรงข้ามทางการเมือง เพียงแค่เพราะเหตุว่า บริจาคเงิน 900 ล้าน ให้มูลนิธิรามาธิบดีฯ โดย XXPiYaXX

เรื่องราวระบุว่า สืบไปจากกรณี นายจุน วนวิทย์ หรือ อากงจุน ผู้จัดตั้งฮาตาริ แล้วก็ ครอบครัว ได้ร่วมบริจาคเงิน 900,000,000 บาท แก่มูลนิธิรามาธิบดีฯ โดยมี ศ.จ. นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดี ภาควิชาแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมกับ รศ. ดร.พูลสุข เจนพานิชย์ วิสุทธิพันธ์ ผู้อำนวยการสถานศึกษาพยาบาลรามาธิบดี และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หมอภาวิทย์ เพียรวิจิตร รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร เป็นผู้แทนร่วมรับมอบ

ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ถูกแชร์ไปในโซเชียลจำนวนมาก ทำให้มีชาวเน็ตเข้ามาอนุโมทนา กับการบริจาคเงินปริมาณมากมายก่ายกองในคราวนี้ ซึ่งสามารถรักษา รวมทั้ง ช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมาย

แม้กระนั้นแล้วดูท่า คนดีในสังคมจะต้องมีมารมาผจญ เมื่อมีกลุ่มของผู้คนคลุ้มคลั่งการเมืองฝั่งสามนิ้ว เริ่มเข้ามาโจมตี นายจุน แล้วก็ ครอบครัว ว่า เพราะเหตุใดจำต้องบริจาคให้กับมูลนิธิรามาธิบดีฯ ถึงกับขนาดผลักใส ให้อยู่อีกฝั่ง ในทางการบ้านการเมืองโดยทันที

โดยเพจสาธารณะ The METTAD ได้โพสต์ เรื่องดังที่กล่าวผ่านมาแล้วซึ่งมีรายละเอียดว่า

มีคนบริจาคให้มูลนิธิของโรงพยาบาล กระแสในเฟซมี 2 ทาง

– คนปกติ 1 อนุโมทนา ช่วยเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งดี ครั้งหน้าจะอุดหนุน
– คนปกติ 2 เพราะเหตุใดจำเป็นต้องผลักมูลนิธินี้เป็นสลิ่ม รวมทั้ง พิมพ์อะไรบ้าคลั่งอีกยาวยืด

ทำให้มีสามัญชนจำนวนไม่น้อย ต่างเกิดความไม่ชอบใจ ที่พากเพียรผลักผู้ที่ช่วยเหลือสังคม ให้เลือกฝั่งด้านการเมือง โดยมีรายละเอียดว่า

“ถ้าหาก Hatari บริจาคให้โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ มันคงจะเต้นหนักกว่านี้นะครับ”

“ก็มีแต่พวกสัตว์นรก 3 กีบ ที่เดือดดาลกับคนทำบุญ”

“คนไม่ปกติคือคนที่แยกแยะไม่ออก ว่า เงินบริจาคทำเพื่อใคร เพื่อประโยชน์อะไร ไม่ว่าแหล่งที่มาของเงินมาจากกลุ่มใครก็ตาม

ปล. ต่อให้กีบบริจาค คนปกติก็ควรร่วมอนุโมทนาบุญด้วยเช่นกัน”

“คนที่สอง น่าจะวิกลจริตนะ”

“ไอ้ปกติที่ 2 มันนร้อนๆ นะครับ”

“คนไม่ปกติ 3 เป็นพวกเห็นแก่ตัว เป็นพวกที่จะเอาแต่ประโยชน์เข้าตัวเองอย่างเดียว แถมอิจฉา เวลาคนอื่นทำประโยชน์ หรือทำเรื่องดีให้สังคม ต้องออกมาดิสเครดิตกัน”

อากงจุน3

ขณะเดียวกัน นาย เทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์เนื้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayorm บอกว่า

“มาตรา 112 ต้องปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เข้มข้นขึ้น ไม่ใช่แก้ไขให้เสื่อมทรามลง เพื่อเปิดประตูให้พวกรู้น้อยแต่พูดมากมาแสดงความเห็นจาบจ้วงล่วงละเมิดให้ร้าย ทุกวันนี้ เราก็เห็นคนพูดมากรู้น้อยเยอะแยะไปหมด หรือพวกมโน ดรามาก็เยอะ”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา แชร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ของ จรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตยานนาวา – บางคอแหลม พรรคก้าวไกล หัวข้อ ใกล้เลือกตั้ง มีแต่ข่าวดีลรัฐบาล ไม่มีเวลาทำงานให้ประชาชน

โดยกล่าวว่า เมื่อไทม์ไลน์การเลือกตั้งใกล้มาทุกครั้ง พร้อมด้วยกติกาหาร 100 ที่แจ่มแจ้งแล้ว จึงถึงเทศกาลแห่งการ ดีลรายวัน สวนทางกับการทำงานให้ประชากร ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายปัจจุบันนี้

ยิ่งบรรดาพรรคเล็กมีความเห็นว่า อาจไม่รอด กับการเลือกตั้งรูปแบบนี้ จึงรีบควบรวมกันครึกครื้น ส่วนพรรคใหญ่ ก็ช้อปกันสนุกสนาน สะท้อนปัญหาคลาสิกชั่วนิจนิรันดร์ของการเมืองไทย ที่พรรคการเมือง ยังไม่ใช่ตัวแทนของอุดมการณ์ แม้กระนั้นรูปแบบของสมการที่เปลี่ยนไปกับการได้มาซึ่งอำนาจ เป็นหลัก หรือ ถ้ามีผลประโยชน์ลงตัวก็พร้อมไปกับทุกขั้ว โดยไม่สน ว่าก่อนหน้าเคยบอกกับพสกนิกรไว้ว่าอย่างไร

หัวข้อนี้ว่าห่วยแล้ว แม้กระนั้นก็ยังเกิดเรื่องเชิงโครงสร้างที่จำต้องจัดการกับปัญหากันไป แม้กระนั้นเรื่องใหญ่กว่านั้น คือ ระหว่างการดีลกันวุ่นวายตอนนี้ ปัญหาของสามัญชน ก็พลอยไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขไปด้วย หมายถึงไม่เหลือสมาธิ จะทำงานบ้านงานเมืองกันแล้ว

ถ้าหากใครไม่เชื่อ ขอให้ทดลองไปเปิดโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ข่วงนี้ดู มีแต่ข่าวปัญหาที่เกิดขึ้นภายในสังคมเยอะไปหมด ชีวิตราษฎรก็ตรากตรำ ทำมาหากินยากอย่างยิ่ง ยาบ้าก็เยอะ ฆ่ากันก็แยะ โรคระบาดก็กลับมา แม้กระนั้นไม่มีใครคิดตั้งใจ

ขนาดพื้นที่โดนอุทกภัยหนัก บ้านจมเป็นเดือน ๆ บางหลังก็ยังได้ชดเชยแค่หลักร้อย ดีหน่อยก็หลักพัน ทำงานกันเหมือนไม่มีรัฐบาล ในนาทีนี้

โดยเหตุนี้ ก่อนพี่น้องประชาชนจะทนทุกข์ทรมานกันมากไปกว่านี้ อย่างไรผมก็ขอฝากถึงรัฐมนตรีทุกคน หัวหน้าพรรค ทุกพรรค รวมถึง หัวหน้ามุ้งต่าง ๆ ในรัฐบาลชุดนี้สักหน่อยว่า จะดีลอะไรกันก็ทำไป แต่ว่าอย่าลืมตนเองว่าเป็นรัฐบาลอยู่ ยังมีหน้าที่บริหารประเทศ ยังไงก็สละเวลามาดำเนินการกันบ้างนะครับ https://www.facebook.com/101372342567471/posts/180684211302950/

แน่ๆ, หัวข้อที่น่าสนใจ ก็คือ กรณี “Forbes” ชื่นชม “อากงจุน” ผู้จัดตั้งฮาตาริ ติดอันดับมหาเศรษฐีใจดีแห่งทวีปเอเชีย ที่สะท้อนให้มองเห็น “ความดี” ไม่มี “ขั้ว” ด้านการเมือง และไม่มีข้าง ถ้าแม้กระนั้นมีจิตใจเป็นกุศล รวมทั้ง เห็นแก่สังคมส่วนกลางมากกว่าส่วนตัว

ความเป็นจริง ไม่เพียงแค่ “มหาเศรษฐี” ทั้งหลายควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง อย่างน้อยก็คืนกำไรให้สังคมบ้าง ที่โกยไปแล้วจำนวนมากมหาศาล

หากแต่ “ติ่ง” ด้านการเมือง ก็สมควรให้ “เครดิต” มากกว่า เอามาแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ด้านการเมือง เพราะเหตุว่าไม่อย่างนั้น สังคมจะยิ่งอยู่ยาก รวมทั้ง ทางแคบลงไป จนแทบสร้างกำแพงกั้นเลยทีเดียว หรือไม่จริง!?